วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2557

คำสันธานและคำอุาน


  6.  คำสันธาน  คือ  คำที่ใช้เชื่อมระหว่างคำหรือข้อความให้ติดต่อกัน  ซึ่งมีหลักการใช้ดังนี้
                6.1  ใช้เชื่อมคำกับคำ  เช่น  หมูกับหมา  คนดีหรือคนชั่ว
                6.2  ใช้เชื่อมประโยคกับประโยค  เช่น  ฉันกินแต่เขาหลับ  เธอจะกินหรือจะนอน
                6.3  ใช้เชื่อมข้อความกับข้อความ  ให้ต่อเนื่องกัน  มักมีคำว่า  ดังนั้น  เพราะฉะนั้น  อนึ่งเพราะเหตุว่า  อีกประการหนึ่ง  คำสันธานนั้นจะอยู่ตำแหน่งใดในประโยคหรือข้อความก็ได้จะใช้คำสันธานกี่ตัวก็ได้  เช่น  กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้  ถึงฝนจะตกเขาก็ไปโรงเรียน
                คำสันธานเชื่อมคำหรือข้อความได้ดังนี้
                      เชื่อมข้อความที่คล้อยตามกัน  จะเชื่อมด้วยคำว่า  ก็  ก็ดี  ทั้ง  และ  กับ  ก็ได้  แล้ว...จึง  เมื่อ...ก็  ครั้น...จึง  พอ...ก็  ทั้ง...กับ  ทั้ง...และ 
                      เชื่อมข้อความที่ขัดแย้งกัน  มีตัวเชื่อมด้วยคำว่า  แต่  แต่ว่า  กว่า...ก็  ถึง...ก็               เชื่อข้อความที่เป็นเหตุเป็นผลกัน  มักเชื่อมด้วยคำว่า  ฉะนี้  ฉะนั้น  จึง  ฉะนั้น  เพราะฉะนั้น...จึง 
                      เชื่อมข้อความให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง  มักเชื่อมด้วยคำว่า  หรือ  ไม่...ก็  มิฉะนั้น  ไม่เช่นนั้น
                      เชื่อมข้อความแบ่งรับแบ่งสู้หรือการคาดคะเน  ซึ่งจะเชื่อมด้วยคำว่า  แม้  แม้น  อาจ  เป็น  ถ้า...ก็ 
                      เชื่อมข้อความที่แสดงการเปรียบเทียบ  มีคำว่า  ดัง  ดุจ  ราว  เสมือน  เหมือน  เป็นตัวเชื่อม 
                      เชื่อมข้อความที่ต่างตอนให้ติดกัน  มักเชื่อมด้วยคำว่า  ฝ่าย  อนึ่ง  ส่วน  อีกประการหนึ่ง
                      เชื่อมข้อความให้สละสลวยและไพเราะ  มักเชื่อมด้วยคำว่า  ก็  อย่างไรก็ดี  ทำไม  กับ  อันว่า
             7.  คำอุทาน  คือ  คำที่เปล่งออกมาเพื่อแสดงอารมณ์หรือความรู้สึกของผู้พูด  ซึ่งไม่มีความหมายในด้านเน้นความรู้สึกและอารมณ์ของผู้พูด  คำอุทานแบ่งได้  2  ชนิด  คือ
                7.1  คำอุทานบอกอาการ  คือ  คำอุทานที่เปล่งเสียงออกมาเพื่อให้รู้อาการของผู้พูด
                7.2  คำอุทานเสริมบท  คือ  คำอุทานที่ใช้เป็นคำสร้อยหรือเสริมบท  ทำให้ความสมบูรณ์  ไพเราะสละสลวยขึ้น  แบ่งเป็น  3  ชนิด  คือ
                      คำสร้อย  คือ  คำอุทานที่ใช้เป็นคำสร้อยในบทประพันธ์พวกโครงและร่าย  มักมีคำว่า  แลนา  นาแม่  เทอญพ่อ  พี่เอย  จริงแฮ
                      คำเสริม  คือ  คำอุทานที่ต่อคำให้ยาวขึ้น  เพราะต้องการให้ออกเสียงสะดวกขึ้น  โดยที่ความหมายไม่เปลี่ยน
             

 5.  คำบุพบท 

 คือ  คำที่ใช้นำหน้าคำนาม  สรรพนาม  คำกริยา  หรือคำวิเศษณ์  เพื่อต้องการบอกตำแหน่งของคำเหล่านั้น  และยังแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำหรือประโยค  ว่าสัมพันธ์กันอย่างไร  เช่น                      เขาทำงานหนังเพื่อเพื่อน  ฉันทำขนมสำหรับถวายพระ                      รถของเขาสีแดงเข้ม  เขาคือเจ้าแห่งขุนเขา                   คำบุพบทแบ่งได้  2  ชนิด  คือ             5.1  คำบุพบทที่ไม่ต้องเชื่อมกับคำอื่น  คือ  บุพบทที่เป็นคำร้องเรียก  จะมีคำว่า  ดูก่อน  ดูกร  ข้าแต่  ดูข้า  เช่น                      ข้าแต่ผู้เป็นเจ้า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย             คำร้องเรียกนี้ปัจจุบันไม่นิยมใช้แล้ว  แต่ถ้าจะใช้บทร้องเรียกจะใช้คำสามานยนามหรือวิสามานยนาม  ซึ่งจะเรียกชื่อหรือตำแหน่งกันไป  เช่น                      อาจารย์ครับมีคนมาหา  คุณยายขาคิดถึงจังเลย                      มณีรัตน์กลับมาเมื่อไร             5.2  คำบุพบทที่ต้องเชื่อมกับคำอื่น  คือ  คำบุพบทนี้จะนำหน้าคำนาม  สรรพนามหรือคำกริยาสภาวมาลา  เพื่อต้องการให้ประโยคชัดเจนขึ้น  ซึ่งมีลักษณะการใช้ดังนี้                บุพบทที่นำหน้ากรรมในประโยค  จะมีคำว่า  ซึ่ง  เป็นตัวเชื่อม                 บุพบทที่นำหน้าคำที่แสดงอาการเป็นเจ้าของ  มักมีคำว่า  ของ  แห่ง  เชื่อม  อยู่                 บุพบทที่นำหน้าคำที่เป็นเครื่องใช้  หรือแสดงความสัมพันธ์กัน  มักจะเชื่อมด้วยคำว่า  ทั้ง  กับ  ด้วย  โดย  ตาม                บุพบทที่นำหน้าคำที่เกี่ยวกับการให้หรือผู้รับ  จะมีคำว่า  แด่  แก่  แต่  ต่อ  สำหรับ                บุพบทที่นำหน้าคำเพื่อบอกเวลา  มักมีคำว่า  ตั้งแต่  จนกระทั่ง  เมื่อ  ใน  แต่  เป็นตัวเชื่อม                บุพบทที่นำหน้าคำเพื่อบอกสถานที่  มักมีคำว่า  เหนือ  ใต้  บน  ล่าง  ใน  ขอบ  ชิด  ริม  ถึง  ใกล้  ที่  จาก  เป็นตัวเชื่อม                บุพบทที่นำหน้าคำเพื่อแสดงการเปรียบเทียบ  ซึ่งมีคำว่า  กว่า  เป็นตัวเชื่อม                บุพบทที่นำหน้าคำเพื่อบอกประมาณหรือคาดคะเน  มักเชื่อมด้วยคำว่า  ราว  สัก  เกือบ  หมด  สิ้น  ทั้งหมด  ทั้ง  ตลอด 


4.  คำวิเศษณ์ 



คือ  คำที่ใช้ประกอบเพื่อให้ความหมายของคำชัดเจนขึ้น  ซึ่งคำวิเศษณ์อาจประกอบ  คำนาม  สรรพนาม  กริยา  หรือวิเศษณ์ก็ได้  เช่น
                       ประกอบคำนาม  เช่น  น้ำเย็น  ใจร้าย  รถเร็ว
                      ประกอบสรรพนาม  เช่น เขาอ้วน  เธอตัวเล็ก  ฉันผอม
                      ประกอบกริยา  เช่น  เดินช้า  กินเร็ว  หัวเราะดัง
                      ประกอบวิเศษณ์  เช่น  นุ่มนิ่ม  หอมหวาน  เหม็นเปรี้ยว
                คำวิเศษณ์แบ่งได้  10  ชนิด  ดังนี้
                4.1  ลักษณวิเศษณ์  คือ  คำวิเศษณ์บอกลักษณะของคำให้เด่นชัดขึ้น  ซึ่งแบ่งได้  9  ลักษณะคือ
                      ลักษณวิเศษณ์บอกชนิด  เช่น  ดี  ชั่ว  แก่  อ่อน  หนุ่ม  สาว  ใหม่  โบราณ
                      ลักษณวิเศษณ์บอกสัณฐาน  เช่น  ราบ  กลม  แบน  แป้น  รี  เหลี่ยม  นูน
                      ลักษณวิเศษณ์บอกขนาด เช่น  ผอม  อ้วน  เล็ก  โต  กว้าง  ยาว  สูง  ใหญ่ 
                      ลักษณวิเศษณ์บอกสี  เช่น  ดำ  แดง  ขาว  เขียว  เหลือง  ฟ้า  ส้ม
                      ลักษณวิเศษณ์บอกเสียง  เช่น  เบา  ดัง  แหลม  สูง  แหบ  ต่ำ  ทุ่ม  หรือเสียงของสัตว์ร้องและเสียงของตกต่าง ๆ
                      ลักษณวิเศษณ์บอกรส  เช่น  เปรี้ยว  หวาน  มัน  เค็ม  จืด  จัด  ขม
                      ลักษณวิเศษณ์บอกกลิ่น  เช่น  สาบ  ฉุน  หอม  เหม็น
                      ลักษณวิเศษณ์บอกสัมผัส  เช่น  แข็ง  นิ่ม  เย็น  ร้อน  หนาว
                      ลักษณวิเศษณ์บอกอาการ  เช่น  ช้า  เร็ว  ด่วน  คล่อง  ว่องไว  อืดอาด
                4.2  กาลวิเศษณ์  คือ  วิเศษณ์ที่บอกเวลา  เพื่อต้องการให้คำประกอบนั้นชัดเจนขึ้นจะมีคำว่า  ก่อน  หลัง  อีก  เสมอ  เดี๋ยวนี้  เช้า  สาย  บ่าย  เที่ยง  เย็น  ดึก  เช่น
                      เขามาก่อนฉัน  พระอาทิตย์ตกตอนเย็น
                      ครูกลับทีหลังฉัน  พี่กลับบ้านดึก
                4.3  สถานวิเศษณ์  คือ  วิเศษณ์ที่บอกสถานที่  จะมีคำว่า  ห่าง  ไกล  ใกล้  บน  หนือ  ใต้  ริม  ขอบ  เช่น
                      เขาอยู่บนต้นไม้  ฉันอยู่ภาคเหนือ
                      น้องนั่งริมหน้าต่าง  ฉันนอนชั้นล่าง
                4.4  ประมาณวิเศษณ์  คือ  คำวิเศษณ์บอกจำนวนนับหรือปริมาณ  ซึ่งจะมีคำว่า  มาก  น้อย  หมด  หนึ่ง  สอง  ที่หนึ่ง  ที่สาม  สิ้น  บรรดา  บ้าง  ต่าง  เช่น
                      นกสิบตัว  เพื่อนทั้งหมดมางานเลี้ยง
                      นักเรียนมาครบทุกคน  เธอกินข้าวน้อย
                4.5  นิยมวิเศษณ์  คือ  คำวิเศษณ์  บอกความหมายชัดเจนแน่นอนยิ่งขึ้น  ซึ่งจะชี้เฉพาะลงไป  แล้วมักมีคำว่า  นั้น  นี่  โน่น  แท้  แน่นอน  จริง  เช่น
                      โรงเรียนนี้อยู่ไกล  ฉันหยุดเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์
                      ฉันไปเที่ยวแน่นอน  บ้านฉันอยู่โน่น
                4.6  อนิยมวิเศษณ์  คือ คำวิเศษณ์บอกความไม่แน่นอน  ไม่ชี้เฉพาะเจาะจง  มักมีความว่าใด  อื่น  ทำไม  อย่างไร ไหน  ใคร  กี่  เช่น
                      ไปไหนก็ได้  คนอื่นกินหมดแล้ว
                4.7  ปฤจฉาวิเศษณ์  คือ  คำวิเศษณ์ที่เป็นคำถามหรือการแสดงความสงสัย  จะมีคำว่า  ใด  อื่น  อะไร  ทำไม  ไหน  หรือ  ไฉน  เท่าไร  เช่น
                      เธอจะไปทำไม  ครูตีเธอเรื่องอะไร
                      เขาคือผู้ใด  หมูบ้านเธอมีกี่ตัว
                4.8  ประติชญาวิเศษณ์  คือ  วิเศษณ์แสดงการตอบรับของคู่สนทนา  จะมีคำว่า  คะ  ครับ  จ้ะ  จ๋ะ  จ๊ะ  ขา  เช่น
                      คุณแม่มีคนมาหาครับ  น้องจ๋าฟังนี้จ้ะ
                4.9  ประติเสธวิเศษณ์  คือ  คำวิเศษณ์ที่บอกปฏิเสธ  บอกอาการห้ามปรามหรือไม่ยอม  จะมีคำว่า  ไม่  มิได้  หามิได้  หาไม่  บ่  ไม่ได้  เช่น
                      ฉันสอนหนังสือไม่ได้พักเลย  เธอไม่ควรไปเที่ยวลำพัง
                4.10  ประพันธ์วิเศษณ์  คือ  คำวิเศษณ์ที่เชื่อมประโยคให้สัมพันธ์กัน  มีลักษณะเช่นเดียวกับคำประพันธสรรพนาม  แต่จะใช้ในการขยายกริยาและวิเศษณ์  จึงเป็นคำวิเศษณ์  มักมีคำว่า  ที่  ซึ่ง  อัน  เช่น
                      แหวนวงนี้หาค่าอันประมาณไม่ได้  เสื้อตัวนี้นี้ที่ราคาถูก

  3.  คำกริยา 


                 คือ  คำที่แสดงอาการของนามหรือสรรพนาม  เพื่อให้รู้ว่าทำอะไรหรืออยู่ในสภาพใด  เช่น  หมาเห่า  นกร้อง  เขาหัวเราะ  ฝนตก  คำกริยาแบ่งได้  4  ชนิด  คือ
                3.1  อกรรมกริยา  คือ  คำกริยาที่ไม่ต้องมีกรรมมารับข้างท้าย  ก็ถือว่าอ่านได้ความสมบูรณ์  เช่น
                      หมาเห่า  รถแล่น
                      พ่อป่วย  เขาร้องไห้
                3.2  สกรรมกริยา  คือ  คำกริยาที่ต้องมีกรรมมารับข้างท้าย  จึงจะอ่านได้ความสมบูรณ์  เช่น
                      เขาถูกครูตี  ฉันถูกรางวัลที่หนึ่ง
                      เพื่อนกินก๋วยเตี๋ยว  เขาทำงาน
                3.3  วิกตรรกกริยา  คือ  คำกริยาที่จะต้องอาศัยคำนาม  หรือสรรพนามมาช่วยขยาย  จึงจะอ่านได้สมบูรณ์  วิกตรรถกรรมกริยา  มักมีคำว่า  เป็น  เหมือน  คล้าย  เท่า  เช่น
                      พ่อเป็นทหาร  เขาตัวเท่าฉัน
                      เขาเหมือนแม่  เขาแต่งตัวคล้ายฝรั่ง
                3.4  กริยาที่มีหน้าที่ช่วยกริยาสำคัญในประโยคเพื่อจะบอกกาล  (เวลา)  มาลา  (สภาพ)  และวาจก  (หน้าที่)  ซึ่งต้องการเน้นกริยากริยาสำคัญให้เด่นชัดขึ้น  มักมีคำว่า  จะ  นะ  กำลัง  เถอะ  อย่า  ต้อง  ถูก  ให้  ยัง  อยู่  ได้  ซิ  เคย 

 2.  คำสรรพนาม 

 คือ  คำที่ใช้แทนคำนามหรือข้อความที่ผู้พูดหรือผู้เขียนได้กล่าวมาแล้ว  เพื่อจะได้ไม่ต้องกล่าวนามซ้ำอีก  คำสรรพนามแบ่งได้  6  ชนิด  คือ
                2.1  บุรุษสรรพนาม  คือ  คำสรรพนามที่ใช้แทนบุคคลที่เกี่ยวข้องในการพูดจากันจะมีผู้พูดผู้ฟังและผู้ที่เราพูดถึง  ซึ่งบุรุษสรรพนามจะแบ่งได้  3  พวกดังนี้
                      สรรพนามบุรุษที่  1  คือ  เป็นคำสรรพนามที่ใช้แทนผู้พูด  เช่น  ฉัน  ดิฉัน  ผม  กระผม  ข้าพเจ้า  กู  หม่อมฉัน  ข้าพระพุทธเจ้า  หนู
                      สรรพนามบุรุษที่  2  คือ  เป็นคำสรรพนามที่ใช้แทนตัวของผู้ฟัง  เช่น  เอ็ง  เธอ  ท่าน  เจ้า  ใต้เท้า  ฝ่าพระบาท  คุณ
                      สรรพนามบุรุษที่  3  คือ  เป็นคำสรรพนามที่ใช้แทนผู้ที่เรากำลังพูดถึงเขา  เช่น  แก  มัน  เขา  ท่าน  พระองค์
                2.2  ประพันธสรรพนาม  คือ  สรรนามที่ใช้แทนนามหรือสรรพนามที่อยู่ข้างหน้าและต้องอยู่ติดกับนามหรือสรรพนาม  ซึ่งจะมีคำว่า  ที่  ซึ่ง  อัน  ประกอบอยู่  เช่น
                      คนที่พูดมากมักไม่ค่อยฟัง
                      บ้านพักซึ่งฉันอยู่ไม่มีไฟฟ้า
                      ไม่อันนี้มีกลิ่นหอมมาก
                2.3  วิภาคสรรพนาม  คือ  คำสรรพนามที่ใช้แทนนามหรือสรรพนามเพื่อต้องการแบ่งนามหรือสรรพนามออกเป็นสัดส่วนและมักมีคำว่า  ต่าง  บ้าง  กัน  ประกอบอยู่  เช่น
                      เราไปเที่ยวด้วยกัน
                      ครูต่างก็สอนหนังสือ
                      เพื่อนบ้างก็คุยบ้างก็อ่านหนังสือ
                2.4  นิยมสรรพนาม  คือ  คำสรรพนามที่ใช้แทนนามในการกำหนดความหมายให้ชัดเจนขึ้น  มักใช้คำว่า  นี่  นั่น  โน่น  ดังต่อไปนี้
                      นี่  จะใช้กับนามที่อยู่ใกล้มากที่สุด  เช่น
                          นี่ชุดใคร  นี่เงินของเธอ
                      นั่น  จะใช้แทนนามที่อยู่ห่างออกไป  เช่น
                           นั่นของใคร  นั่นหมวกของใคร
                      โน่น  จะใช้แทนนามที่อยู่ห่างออกไปอีก  เช่น
                          โน่นบ้านของฉัน  โน่นคือศาลเจ้าแม่กวนอิม
                2.5  อนิยมสรรพนาม  คือ  คำสรรพนามที่ใช้แทนนามซึ่งไม่ได้กำหนดชัดเจนแน่นอน  มักมีคำว่า  ใคร  อะไร  ไหน  ใด  เช่น
                      ไม่มีใครรังเกียจเธอ  ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์
                2.6  ปฤจฉาสรรพนาม  คือ  คำสรรพนามที่ใช้แทนนามที่เป็นคำถามหรือสงสัย  เช่น                     อะไรทำให้เธอเปลี่ยนไป  ?
                      ไหนแหวนเธอ  ?
                      ใครหยิบของฉันไป  ?

ชนิดของคำไทย

             ชนิดของคำในภาษาไทย  แบ่งได้เป็น  7  ชนิด  คือ  คำนาม  คำสรรพนาม  คำกริยา  คำวิเศษณ์  คำบุพบท  คำสันทาน  คำอุทาน  (วันเพ็ญ  เทพโสภา.  2553  :  61-71)
             1.  คำนาม  คือ  คำที่เรียกชื่อ  คน  สัตว์  สิ่งของต่างๆ  ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม  แบ่งได้  5  ชนิด  ดังนี้
                1.1  สามานยนาม  คือ  คำนามที่ใช้เรียกชื่อทั่ว ๆ  ไป  เช่น  นก  หนู  ดิน  น้ำ  บ้าน  โรงเรียน
                1.2  วิสามานยนาม  คือ  คำนามที่ใช้เรียกชื่อเฉพาะ  ตั้งขึ้นเพราะไม่ต้องการให้คำนามนั้นปนกับคำนามอื่นๆ  เช่น  อาทิตย์  (วัน)  มีนาคม  (เดือน)  พิจิตร  (จังหวัด)  มะลิ  (ดอกไม้)
                1.3  สมุหนาม  คือ  คำนามที่เรียกชื่อ  คน  สัตว์  สิ่งของที่อยู่เป็นหมวดหมู่รวมกัน  เช่น  โขลง  (ช้างหลายเชือก)  ฝูงปลา  (ปลาหลายตัว)  นอกจากนี้ก็มีคำว่า  กลุ่ม  หมู่  กอง  เหล่า  พวก  คณะ  โหล  สมาคม  บริษัท  ฝูง 
                1.4  อาการนาม  คือ  คำนามที่เป็นชื่อกิริยาอาการของคน  สัตว์  และสิ่งของต่าง ๆ  อาการนาม  หมายถึง  คำกริยาหรือคำวิเศษณ์  จะมีคำว่า  การหรือความ  นำหน้าอยู่เสมอ  ซึ่งการใช้คำว่าการและความ  มีหลักดังนี้
                การ  จะใช้นำหน้าคำกริยาที่แสดงในด้านทางกายและวาจา  เช่น  การนอน  การเดิน  การพูด  การฟัง  การอ่าน
                ความ  จะใช้นำหน้าคำกริยาที่เกี่ยวกับจิตใจ  เช่น  ความคิด  ความโกรธ  ความตาย  ความรัก  ความโลภ  และยังใช้นำหน้าคำวิเศษณ์เพื่อบอกลักษณะต่าง ๆ  เช่น  ความเร็ว  ความดี  ความสวย
                หมายเหตุ  ถ้าการและความ  ไม่ได้นำหน้าคำกริยาหรือคำวิเศษณ์  จะถือว่าเป็น
สามานยนาม  เช่น  การบ้าน  การคลัง  การเมือ  ความอาญา  ความแพ่ง
                1.5  ลักษณนาม  คือ  คำนามที่ใช้บอกลักษณะของคำนามนั้น  เพื่อต้องการให้ทราบว่าคำนามนั้นมีลักษณะอย่างไร  คำลักษณนามจะอยู่หลังคำวิเศษณ์บอกจำนวนนับเสมอ  เช่น  คน  1  คน  ดินสอ  9  แท่ง  ขลุ่ย  1  เลา
             ลักษณนามในภาษาไทยแบ่งได้ดังต่อไปนี้
                ลักษณนามบอกชนิดของนาม  เช่น
                    ปื้น                ใช้กับ    เลื่อย
                    เล่ม               ใช้กับ    หนังสือ  สมุด  อาวุธ  เกวียน  เข็ม  กรรไกร
                    เรื่อง              ใช้กับ    เรื่องราวและคติข้อความต่าง ๆ
                    เลา               ใช้กับ    ปี่  ขลุ่ย
                    รูป                ใช้กับ    รูปภาพ  ภิกษุ  สามเณร
                    องค์               ใช้กับ    เจดีย์  พระพุทธรูป
                    เชือก              ใช้กับ    ช้าง
                    ใบ                ใช้กับ    ภาชนะต่าง ๆ  ครก  ใบไม้
                    ตัว                ใช้กับ    โต๊ะ  เก้าอี้  ตะปู  ตุ๊กตา  หมา  แมว 
                    สิ่ง,  อัน          ใช้กับ    สิ่งของต่าง ๆ  เช่น  แว่นตา
                    เรือน              ใช้กับ    นาฬิกา
                ลักษณนามบอกอาการของคำนาม  เช่น
                   กำ,  ฟ่อน        ใช้กับ    ของที่มีลักษณะเป็นกำหรือฟ่อน  เช่น  ผัก  หญ้า  ข้าว
                   มวน              ใช้กับ    ของที่เป็นมวน  เช่น  บุหรี่
                   ม้วน              ใช้กับ    ของม้วนเอาไว้  เช่น  การดาษ  ยาสูบ
                   พับ                ใช้กับ    ของที่พับเอาไว้  เช่น  ผ้าต่าง ๆ
                   จีบ                ใช้กับ    ของที่จีบเอาไว้  เช่น  พลู          
                   มัด                ใช้กับ    ของที่มักเอาไว้  เช่น  ข้าวต้มมัด  ฟืน
                ลักษณนามบอกสัณฐานลักษณะของนาม  เช่น
                   กลัก              ใช้กับ    ของที่เป็นกล่องเล็ก ๆ  เช่น  กลักไม้ขีดไฟ
                   ก้อน              ใช้กับ    ของที่มีลักษณะเป็นก้อน  เช่น  อิฐ  หิน  ดิน  ยางลบ
                   กระบอก          ใช้กับ    ของที่มีลักษณะกลมยาวและกลวง  เช่น  ข้าวหลาม  ไม้                                              ไผ่  ปืน
                    แท่ง               ใช้กับ    ของที่ทึบและหนามีรูปยาว ๆ  เช่น  เหล็ก ทอง  ดินสอ 
                   หลัง               ใช้กับ    ของที่มีหลังคา  เช่น  บ้าน  เรือน  มุ้ง  กูบ  ประทุน
                   สาย               ใช้กับ    ของที่เป็นทางยาว  เช่น  ทาง  แม่น้ำ  ถนน
                   เส้น               ใช้กับ    ของที่เป็นเส้นเล็กยาว  เช่น  ด้าย  สร้อย  เชือก  ลวด
                   ผืน                ใช้กับ    ของที่แบนบางและกว้างใหญ่  เช่น  พรม  ผ้า
                   คัน                ใช้กับ    ของที่ใช้ถือหรือลากมีรูปยาว ๆ  เช่น  ช้อน  ซอ  เบ็ด                                                ร่ม  ธนู  รถ  ฉัตร
                ลักษณนามบอกหมวดหมู่ของนาม  เช่น
                   พวก,  เหล่า      ใช้กับ    คน  สัตว์  สิ่งของที่อยู่รวมกันและมีลักษณะเดียวกัน
                   กอง               ใช้กับ    ทหารและใช้กับของที่รวมกันไว้  เช่น  หิน  ดิน  ทราย 
                   หมู่                ใช้กับ    คน  สัตว์  และของที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม
                   ชุด                ใช้กับ    คน  หรือสิ่งของที่ครบตามอัตรา
                   ฝูง                ใช้กับ    คนหรือสัตว์ที่อยู่รวมกันมาก ๆ
                   ตับ                ใช้กับ    จาก  ลูกปืน
                   วง                 ใช้กับ    คนชุดหนึ่ง ๆ  ที่ล้อมวงกันทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง  เช่น  เล่น                                       ดนตรี  ตะกร้อ  ร้องเพลง
                ลักษณนามที่บอกจำนวนและมาตราของคำนาม  เช่น
                   กุลี                ใช้กับ    ผ้าที่ห่อรวมกัน
                   โหล               ใช้กับ    ของที่รวมกัน  12  สิ่ง  เช่น  ปากกา  ดินสอ
                   คู่                  ใช้กับ    ของที่มีชุดละ  2  สิ่ง  เช่น  ช้อนส้อม  รองเท้า
                   ถัง                ใช้กับ    ข้าวสาร  ถั่ว  งา
                   บาท              ใช้กับ    เงิน
                   ปีบ                ใช้กับ    น้ำ,  น้ำตาล
                ลักษณนามซ้ำชื่อนาม  คือ  ไม่มีลักษณนามใช้  ซื้อต้องนำสามานยนามเดิมมาใช้เป็น
ลักษณนาม  เช่น  ประเทศ  5  ประเทศ  จังหวัด  76  จังหวัด  วัด  9  วัด                       
            

ที่มาของคำว่า  “ส่วย” 

             คำว่า  “ส่วย”  เป็นคำที่คนกลุ่มอื่นเรียกคนในกลุ่มนี้  แต่ในกลุ่มของเขาเองเรียกตนเองว่า  “กุย”  หรือ  “กูย”  สาเหตุที่คนทั่วไปเรียกคนพื้นเมืองในบริเวณเขมรป่าดงว่า  “ส่วย”  นั้น  สืบเนื่องมาจากในระยะเริ่มต้น  สมัยกรุงรัตนโกสินทร์นั้น  ไทยเพิ่งได้ดินแดนและผู้คนในบริเวณตั้งแต่แม่น้ำมูลไปจนถึงแขวงจำปาศักดิ์  สาระวัน  อัตตะปือ  เข้ามาอยู่ในอำนาจและเรียกดินแดนแถบนี้ว่า  บริเวณเขมรป่าดง  ต่อมาในสมัยรัชกาลที่  3  ทางรัฐบาลกรุงเทพฯ  เห็นว่าผู้คนที่อยู่ในบริเวณนี้  ถ้าจะเกณฑ์แรงงานในระบบเลิกไพร่ธรรมดาก็จะไม่ได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย  ประกอบทั้งในช่วงนั้นทางเมืองหลวงต้องการของป่าจำพวกครั่งฝาง  ไม้เนื้อหอมและอื่นๆ  จำนวนมาก  เพื่อค้าขายกับต่างประเทศ  จึงคิดระบบไพร่ส่วยขึ้นใช้สำหรับหัวเมืองที่ห่างไกลออกไป  คือ  กำหนดให้ยกเว้นการเกณฑ์แรงงาน  แต่มีข้อมูลผูกพันว่าจะต้องส่งของป่าตามอัตราที่กำหนดไว้ต่อปี  ให้กรมกรรมการเมืองเป็นผู้คอยควบคุมดูแลและจัดทำบัญชีสิ่งของที่ส่งทูลเกล้าฯ  ถ้าหากหาสิ่งของส่งไม่ได้ก็ให้ส่งเป็นเงินแทน  โดยกำหนดราคาเท่ากับส่งของนั้น ๆ             การดำเนินการดังกล่าว  ทำให้ท้องพระคลังได้ผลประโยชน์อย่างเต็มที่และสิ่งของที่ใช้ส่งส่วยส่วนหนึ่งคือ  ทองคำ  ปรากฏว่าในสมัยรัชกาลที่  3  มีการเรียกเก็บส่วยทองคำจากเมืองอัตตะปือ  เพิ่งขั้นเป็นปีละ  8  ชั่ง  และเข้าใจว่าในช่วงนี้เองทางกรุงเทพฯ  เรียกคนพื้นเมืองแถบนี้ว่า  “ข่าส่วย”  แต่พอมาถึงต้นรัชกาลที่  5  (พ.ศ.  2411)  ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดพวกข่าส่วย  (เขมรป่าดง)  ไม่สามารถหาสิ่งของมาส่งส่วยให้ทางกรุงเทพฯ  ได้  เมื่อถูกทางเมืองหลวงเร่งรัดเอาสิ่งของ  เงินทอง  กรมการเมืองบางส่วนจึงใช้วิธีจับคนพื้นเมืองไปขายเพื่อเอาเงินส่งส่วย  ครั้นความทราบพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ  จึงโปรดเกล้าฯ  ห้ามจับคนข่าส่วยอีก  แต่ยังมีบางส่วนส่งตัวคนลงมาส่งส่วยแทนและเรียนว่า  “คนส่วย”  ตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา             ต่อมาในปี  พ.ศ.  2446  แขวงจำปาศักดิ์  สาระวัน  อัตตะปือ  ตกเป็นของฝรั่งเศส  จังหวัดศรีสะเกษ  สุรินทร์  บุรีรัมย์  และอุบลราชธานีเท่านั้น  สืบเนื่องจากคนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้มีพันธะที่จะส่งส่วยสิ่งของ  เงินทองตลอดจน  “คน”  ให้กับทางเมืองหลวงด้วย  อีกประการหนึ่งคนส่วนใหญ่เป็นชนชาติในตระกูลภาษามอญ-เขมร  คำว่าไพร่ส่วยและคนส่วยเดิมจึงถูกตัดให้สั้นลงเหลือเพียง  “ส่วย”  คำเดียวคำนี้จึงมีความหมายแทนชนชาติดังกล่าวมาจนกระทั่งปัจจุบัน  ในพวกเขาเองก็ดูเหมือนจะลืมความหมายที่แท้จริงของคำนี้เสียแล้วและยอมรับคำเรียนขานดังกล่าวโดยมิได้รังเกียจแต่อย่างใด  (จิตร  ภูมิศักดิ์.  ม.ป.ป.  :  445)
             คนพวกนี้มีชื่อเรียกต่าง ๆ  กันออกไป  เขมร  เรียกว่า  กุย  ฝรั่งเศส  เรียกตามว่า  กุย  (kui) หรือ  กวย  (kouy)  ไทยเรียกส่วย  ต่อมาเมื่อแต่งานกับลาวและเขมรที่ตามเข้ามาภายหลังเกิดเผ่าพันธุ์ผสมขึ้นใหม่  (ยุพดี  จรัญยานนท์.  ม.ป.ป.  :  45)  พวกที่เกิดจากกุยกับลาว  เรียกว่า  ส่วยลาว  มีอยู่มากในจังหวัดศรีสะเกษ  ส่วนพวกที่เกิดจากกุยกับเขมร  เรียกว่า  ส่วยเขมร  มีอยู่มากในจังหวัดสุรินทร์