คำสันธานและคำอุาน
6.1 ใช้เชื่อมคำกับคำ เช่น หมูกับหมา คนดีหรือคนชั่ว
6.2 ใช้เชื่อมประโยคกับประโยค เช่น ฉันกินแต่เขาหลับ เธอจะกินหรือจะนอน
6.3 ใช้เชื่อมข้อความกับข้อความ ให้ต่อเนื่องกัน มักมีคำว่า ดังนั้น เพราะฉะนั้น อนึ่งเพราะเหตุว่า อีกประการหนึ่ง คำสันธานนั้นจะอยู่ตำแหน่งใดในประโยคหรือข้อความก็ได้จะใช้คำสันธานกี่ตัวก็ได้ เช่น กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ ถึงฝนจะตกเขาก็ไปโรงเรียน
คำสันธานเชื่อมคำหรือข้อความได้ดังนี้
เชื่อมข้อความที่คล้อยตามกัน จะเชื่อมด้วยคำว่า ก็ ก็ดี ทั้ง และ กับ ก็ได้ แล้ว...จึง เมื่อ...ก็ ครั้น...จึง พอ...ก็ ทั้ง...กับ ทั้ง...และ
เชื่อมข้อความที่ขัดแย้งกัน มีตัวเชื่อมด้วยคำว่า แต่ แต่ว่า กว่า...ก็ ถึง...ก็ เชื่อข้อความที่เป็นเหตุเป็นผลกัน มักเชื่อมด้วยคำว่า ฉะนี้ ฉะนั้น จึง ฉะนั้น เพราะฉะนั้น...จึง
เชื่อมข้อความให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง มักเชื่อมด้วยคำว่า หรือ ไม่...ก็ มิฉะนั้น ไม่เช่นนั้น
เชื่อมข้อความแบ่งรับแบ่งสู้หรือการคาดคะเน ซึ่งจะเชื่อมด้วยคำว่า แม้ แม้น อาจ เป็น ถ้า...ก็
เชื่อมข้อความที่แสดงการเปรียบเทียบ มีคำว่า ดัง ดุจ ราว เสมือน เหมือน เป็นตัวเชื่อม
เชื่อมข้อความที่ต่างตอนให้ติดกัน มักเชื่อมด้วยคำว่า ฝ่าย อนึ่ง ส่วน อีกประการหนึ่ง
เชื่อมข้อความให้สละสลวยและไพเราะ มักเชื่อมด้วยคำว่า ก็ อย่างไรก็ดี ทำไม กับ อันว่า
7. คำอุทาน คือ คำที่เปล่งออกมาเพื่อแสดงอารมณ์หรือความรู้สึกของผู้พูด ซึ่งไม่มีความหมายในด้านเน้นความรู้สึกและอารมณ์ของผู้พูด คำอุทานแบ่งได้ 2 ชนิด คือ
7.1 คำอุทานบอกอาการ คือ คำอุทานที่เปล่งเสียงออกมาเพื่อให้รู้อาการของผู้พูด
7.2 คำอุทานเสริมบท คือ คำอุทานที่ใช้เป็นคำสร้อยหรือเสริมบท ทำให้ความสมบูรณ์ ไพเราะสละสลวยขึ้น แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ
คำสร้อย คือ คำอุทานที่ใช้เป็นคำสร้อยในบทประพันธ์พวกโครงและร่าย มักมีคำว่า แลนา นาแม่ เทอญพ่อ พี่เอย จริงแฮ







