วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ที่มาของคำว่า  “ส่วย” 

             คำว่า  “ส่วย”  เป็นคำที่คนกลุ่มอื่นเรียกคนในกลุ่มนี้  แต่ในกลุ่มของเขาเองเรียกตนเองว่า  “กุย”  หรือ  “กูย”  สาเหตุที่คนทั่วไปเรียกคนพื้นเมืองในบริเวณเขมรป่าดงว่า  “ส่วย”  นั้น  สืบเนื่องมาจากในระยะเริ่มต้น  สมัยกรุงรัตนโกสินทร์นั้น  ไทยเพิ่งได้ดินแดนและผู้คนในบริเวณตั้งแต่แม่น้ำมูลไปจนถึงแขวงจำปาศักดิ์  สาระวัน  อัตตะปือ  เข้ามาอยู่ในอำนาจและเรียกดินแดนแถบนี้ว่า  บริเวณเขมรป่าดง  ต่อมาในสมัยรัชกาลที่  3  ทางรัฐบาลกรุงเทพฯ  เห็นว่าผู้คนที่อยู่ในบริเวณนี้  ถ้าจะเกณฑ์แรงงานในระบบเลิกไพร่ธรรมดาก็จะไม่ได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย  ประกอบทั้งในช่วงนั้นทางเมืองหลวงต้องการของป่าจำพวกครั่งฝาง  ไม้เนื้อหอมและอื่นๆ  จำนวนมาก  เพื่อค้าขายกับต่างประเทศ  จึงคิดระบบไพร่ส่วยขึ้นใช้สำหรับหัวเมืองที่ห่างไกลออกไป  คือ  กำหนดให้ยกเว้นการเกณฑ์แรงงาน  แต่มีข้อมูลผูกพันว่าจะต้องส่งของป่าตามอัตราที่กำหนดไว้ต่อปี  ให้กรมกรรมการเมืองเป็นผู้คอยควบคุมดูแลและจัดทำบัญชีสิ่งของที่ส่งทูลเกล้าฯ  ถ้าหากหาสิ่งของส่งไม่ได้ก็ให้ส่งเป็นเงินแทน  โดยกำหนดราคาเท่ากับส่งของนั้น ๆ             การดำเนินการดังกล่าว  ทำให้ท้องพระคลังได้ผลประโยชน์อย่างเต็มที่และสิ่งของที่ใช้ส่งส่วยส่วนหนึ่งคือ  ทองคำ  ปรากฏว่าในสมัยรัชกาลที่  3  มีการเรียกเก็บส่วยทองคำจากเมืองอัตตะปือ  เพิ่งขั้นเป็นปีละ  8  ชั่ง  และเข้าใจว่าในช่วงนี้เองทางกรุงเทพฯ  เรียกคนพื้นเมืองแถบนี้ว่า  “ข่าส่วย”  แต่พอมาถึงต้นรัชกาลที่  5  (พ.ศ.  2411)  ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดพวกข่าส่วย  (เขมรป่าดง)  ไม่สามารถหาสิ่งของมาส่งส่วยให้ทางกรุงเทพฯ  ได้  เมื่อถูกทางเมืองหลวงเร่งรัดเอาสิ่งของ  เงินทอง  กรมการเมืองบางส่วนจึงใช้วิธีจับคนพื้นเมืองไปขายเพื่อเอาเงินส่งส่วย  ครั้นความทราบพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ  จึงโปรดเกล้าฯ  ห้ามจับคนข่าส่วยอีก  แต่ยังมีบางส่วนส่งตัวคนลงมาส่งส่วยแทนและเรียนว่า  “คนส่วย”  ตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา             ต่อมาในปี  พ.ศ.  2446  แขวงจำปาศักดิ์  สาระวัน  อัตตะปือ  ตกเป็นของฝรั่งเศส  จังหวัดศรีสะเกษ  สุรินทร์  บุรีรัมย์  และอุบลราชธานีเท่านั้น  สืบเนื่องจากคนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้มีพันธะที่จะส่งส่วยสิ่งของ  เงินทองตลอดจน  “คน”  ให้กับทางเมืองหลวงด้วย  อีกประการหนึ่งคนส่วนใหญ่เป็นชนชาติในตระกูลภาษามอญ-เขมร  คำว่าไพร่ส่วยและคนส่วยเดิมจึงถูกตัดให้สั้นลงเหลือเพียง  “ส่วย”  คำเดียวคำนี้จึงมีความหมายแทนชนชาติดังกล่าวมาจนกระทั่งปัจจุบัน  ในพวกเขาเองก็ดูเหมือนจะลืมความหมายที่แท้จริงของคำนี้เสียแล้วและยอมรับคำเรียนขานดังกล่าวโดยมิได้รังเกียจแต่อย่างใด  (จิตร  ภูมิศักดิ์.  ม.ป.ป.  :  445)
             คนพวกนี้มีชื่อเรียกต่าง ๆ  กันออกไป  เขมร  เรียกว่า  กุย  ฝรั่งเศส  เรียกตามว่า  กุย  (kui) หรือ  กวย  (kouy)  ไทยเรียกส่วย  ต่อมาเมื่อแต่งานกับลาวและเขมรที่ตามเข้ามาภายหลังเกิดเผ่าพันธุ์ผสมขึ้นใหม่  (ยุพดี  จรัญยานนท์.  ม.ป.ป.  :  45)  พวกที่เกิดจากกุยกับลาว  เรียกว่า  ส่วยลาว  มีอยู่มากในจังหวัดศรีสะเกษ  ส่วนพวกที่เกิดจากกุยกับเขมร  เรียกว่า  ส่วยเขมร  มีอยู่มากในจังหวัดสุรินทร์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น