การศึกษาเรื่องการเปรียบเทียบคำกริยาภาษาส่วยกับภาษาไทย
ความเป็นมาของชาวส่วย (กูย)
1. ภูมิลำเนา
คำว่าส่วย
เป็นชื่อที่คนไทยสมัยรัตนโกสินทร์ใช้เรียกคนพื้นเมืองกลุ่มหนึ่ง ที่พูดภาษาตระกูลมอญ-เขมร พวกใหม่พวกหนึ่งทางภาคอีสาน ในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์
ศรีสะเกษ ตลอดจนถึงอุบลราชธานี จากการสำรวจ
(ประเสริฐ ศรีวิเศษ. ม.ป.ป.
:
ง-ฉ) พบว่า ส่วนมากจะอยู่ในจังหวัดสุรินทร์ รองลงมาคือจังหวัดศรีสะเกษ และกระจายกันอยู่ตามอำเภอต่าง ๆ ในภาคอีสานที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศกัมพูชา 6
จังหวัด คือ
จังหวัดสุรินทร์ มีอยู่ในทุกอำเภอ คือ
อำเภอเมืองสุรินทร์ ชุมพลบุรี ท่าตูม
รัตนบุรี จอมพระ
สนม สำโรงทาบ ศีขรภูมิ
สังขะ กาบเชิง กิ่งอำเภอลำดวน และกิ่งอำเภอบัวเชด
จังหวัดศรีสะเกษ มีอยู่ในอำเภอต่าง ๆ คือ
อำเภอเมือง อุทุมพรพิสัย กันทรารมย์
ปรางค์กู่ ไพรบึง ขุขันธ์
ขุนหาญ และกันทราลักษณ์
จังหวัดบุรีรัมย์ มีอยู่ในอำเภอเมือง สตึก
กระสัง หนองกี่ ลำปลายมาศ
ประโคนชัย และบ้านกรวด
จังหวัดอุบลราชธานี มีอยู่ในอำเภอวารินชำราบ โขงเจียม
(สุวรรณวารี) เดชอุดม นาจะหลวย และน้ำยืน
จังหวัดมหาสารคาม มีในอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย
จังหวัดนครราชสีมา มีในอำเภอห้วยแถลง
อย่างไรก็ตามพวกส่วยที่อาศัยอยู่ในจังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดนครราชศรีมา จัดว่า
เป็นพวกเดียวกันกับจังหวัดสุรินทร์และศรีสะเกษ เพราะเป็นหมู่บ้านที่ตั้งขึ้นใหม่เนื่องจากชาวส่วยอพยพโยกย้ายถิ่นฐานไปจากจังหวัดดังกล่าว
2. ชาติพันธุ์
ผู้เชี่ยวชาญในทางมนุษยชาติวงศ์วิทยาแห่งเอเชีย ถือกันว่าพวกส่วย (กุย)
เป็นชาวพื้นเมืองเดิมในบริเวณประเทศกัมพูชา และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย แม้ในกลุ่มชนชาติไทย-ลาวก็มีเชื้อส่วย (กุย)
ปนอยู่ไม่น้อย (ไพบูลย์ สุนทรารักษ์.
ม.ป.ป. : 61) ส่วยเป็นชนชาติหนึ่งในตระกูลมอญเขมร
มีเลือดผสมระหว่างพวกเวดดิด (Weddid) กับพวกเมลาเนเชียน (Melanasian) (ดำเนิน เลขะกุล.
ม.ป.ป. : 9) พวกส่วย (กุย) มีลักษณะใกล้ไปทางเขมรมาก คือ
ผมหยิก ผิวคล้ำ
ลักษณะหน้าตาและเรือนร่างของพวกนี้มีปะปนกันทั้งแบบเนกริโต (Negrito) หรือเมลาเชียน ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาเป็นแบบเซมังหรือเงาะ คือ
ผมหยิกหยอง จมูกบาน ริมฝีปากหนา
ผิวดำมืด มีทั้งแบบอารยัน คือ
จมูกโด่งเป็นสันสูง
หน้าผากสูง ปากเล็ก (พบน้อย)
มีทั้งแบบเวดดิด-อินโดเนียเชียน (Weddid Indonesion)
คือผิวขาว
ศรีษะยาว
แต่ที่มีมากที่สุดและเป็นส่วนใหญ่
คือ แบบออสโตรเอเชียติค คือ
แบบมอญ-เขมร
พวกนี้มีร่างกายใหญ่ไหล่กว้าง
เป็นเหลี่ยม ภาษาที่พูดส่วนใหญ่อยู่ในตระกูลมอญ-เขมร มีคำที่คล้ายคลึงกับมอญและเขมรอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่เป็นคำของตนเอง (จิตร
ภูมิศักดิ์. ม.ป.ป. :
433)
ไม่มีตัวอักษรใช้เป็นของตนเอง
3. ประวัติความเป็นมา
ไพบูลย์ สุนทรารักษ์ (ม.ป.ป. :
48) ลงความเห็นว่า ส่วย
(กุย)
เป็นเผ่าพันธุ์เขมรเดิมพวกหนึ่ง
เรียกว่า เชื้อชาติมุณฑ์
ซึ่งอพยพจากอินเดียเมื่อครั้งถูกอารยันรุกราน พวกนี้อพยพมาทางตะวันออก จนถึงบริเวณลุ่มน้ำคง (สกละวิน)
และแม่น้ำของ (โขง) ตอนบน
พวกที่อพยพไปทางแม่น้ำคงกลายเป็นบรรพบุรุษของมอญหรือรามัญ ส่วนพวกที่อพยพไปตามแม่น้ำของบางพวกก็ไปอาศัยอยู่ตามที่ราบสูงแถบเทือกเขาด็อกแทรก (ดงรัก)
บางพวกเลยไปถึงที่ราบต่ำบริเวณทะเลสาบใหญ่
และชายทะเล
กลายเป็นบรรพบุรุษของเขมรหรือแขมร์
ส่วนพวกที่อยู่ตามชายเขาต่าง ๆ
เรียก ลัวะ ข่า
ขมุ ส่วย กวย
หรือ กุย แตกต่างกันออกไป
เฉพาะส่วย (กุย) ในจังหวัดสุรินทร์นั้น มีประวัติดั้งเดิมอยู่ว่าอพยพมาจากเมืองแสนแป (แสนปาง)
อัตตะปือ
และจำปาศักดิ์ในลาวใต้ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงตั้งแต่ราว พ.ศ. 2200
(เติม วิภาคย์พจนกิจ. ม.ป.ป.
: 167) สมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวงปกครองกรุงศรีอยุธยา ชนพวกนี้ได้ช้างเป็นพาหนะหลัก จัดเป็นรูปกองคาราวานใหญ่ข้ามแม่น้ำโขงที่อำเภอโขงเจียม เข้าสู่เขตประเทศไทยในปัจจุบัน
เคลื่อนขบวนผ่านมาทางท้องที่อำเภอวารินชำราบแล้ววกลงมาทางทิศใต้เข้าสู่บริเวณจังหวดศรีสะเกษ และเลยมาถึงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ในที่สุด
4. ที่มาของคำว่า “ส่วย”
คำว่า “ส่วย” เป็นคำที่คนกลุ่มอื่นเรียกคนในกลุ่มนี้ แต่ในกลุ่มของเขาเองเรียกตนเองว่า “กุย”
หรือ “กูย”
สาเหตุที่คนทั่วไปเรียกคนพื้นเมืองในบริเวณเขมรป่าดงว่า “ส่วย”
นั้น สืบเนื่องมาจากในระยะเริ่มต้น สมัยกรุงรัตนโกสินทร์นั้น
ไทยเพิ่งได้ดินแดนและผู้คนในบริเวณตั้งแต่แม่น้ำมูลไปจนถึงแขวงจำปาศักดิ์ สาระวัน
อัตตะปือ
เข้ามาอยู่ในอำนาจและเรียกดินแดนแถบนี้ว่า
บริเวณเขมรป่าดง
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 ทางรัฐบาลกรุงเทพฯ เห็นว่าผู้คนที่อยู่ในบริเวณนี้
ถ้าจะเกณฑ์แรงงานในระบบเลิกไพร่ธรรมดาก็จะไม่ได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ประกอบทั้งในช่วงนั้นทางเมืองหลวงต้องการของป่าจำพวกครั่งฝาง ไม้เนื้อหอมและอื่นๆ จำนวนมาก
เพื่อค้าขายกับต่างประเทศ
จึงคิดระบบไพร่ส่วยขึ้นใช้สำหรับหัวเมืองที่ห่างไกลออกไป คือ
กำหนดให้ยกเว้นการเกณฑ์แรงงาน
แต่มีข้อมูลผูกพันว่าจะต้องส่งของป่าตามอัตราที่กำหนดไว้ต่อปี
ให้กรมกรรมการเมืองเป็นผู้คอยควบคุมดูแลและจัดทำบัญชีสิ่งของที่ส่งทูลเกล้าฯ ถ้าหากหาสิ่งของส่งไม่ได้ก็ให้ส่งเป็นเงินแทน โดยกำหนดราคาเท่ากับส่งของนั้น ๆ
การดำเนินการดังกล่าว
ทำให้ท้องพระคลังได้ผลประโยชน์อย่างเต็มที่และสิ่งของที่ใช้ส่งส่วยส่วนหนึ่งคือ ทองคำ
ปรากฏว่าในสมัยรัชกาลที่ 3 มีการเรียกเก็บส่วยทองคำจากเมืองอัตตะปือ เพิ่งขั้นเป็นปีละ 8
ชั่ง
และเข้าใจว่าในช่วงนี้เองทางกรุงเทพฯ
เรียกคนพื้นเมืองแถบนี้ว่า
“ข่าส่วย” แต่พอมาถึงต้นรัชกาลที่ 5
(พ.ศ.
2411) ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดพวกข่าส่วย (เขมรป่าดง)
ไม่สามารถหาสิ่งของมาส่งส่วยให้ทางกรุงเทพฯ ได้
เมื่อถูกทางเมืองหลวงเร่งรัดเอาสิ่งของ
เงินทอง
กรมการเมืองบางส่วนจึงใช้วิธีจับคนพื้นเมืองไปขายเพื่อเอาเงินส่งส่วย ครั้นความทราบพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ จึงโปรดเกล้าฯ
ห้ามจับคนข่าส่วยอีก
แต่ยังมีบางส่วนส่งตัวคนลงมาส่งส่วยแทนและเรียนว่า “คนส่วย”
ตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา
ต่อมาในปี พ.ศ. 2446
แขวงจำปาศักดิ์
สาระวัน อัตตะปือ ตกเป็นของฝรั่งเศส จังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์
บุรีรัมย์
และอุบลราชธานีเท่านั้น
สืบเนื่องจากคนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้มีพันธะที่จะส่งส่วยสิ่งของ เงินทองตลอดจน
“คน” ให้กับทางเมืองหลวงด้วย อีกประการหนึ่งคนส่วนใหญ่เป็นชนชาติในตระกูลภาษามอญ-เขมร
คำว่าไพร่ส่วยและคนส่วยเดิมจึงถูกตัดให้สั้นลงเหลือเพียง “ส่วย”
คำเดียวคำนี้จึงมีความหมายแทนชนชาติดังกล่าวมาจนกระทั่งปัจจุบัน
ในพวกเขาเองก็ดูเหมือนจะลืมความหมายที่แท้จริงของคำนี้เสียแล้วและยอมรับคำเรียนขานดังกล่าวโดยมิได้รังเกียจแต่อย่างใด (จิตร ภูมิศักดิ์.
ม.ป.ป. : 445)
คนพวกนี้มีชื่อเรียกต่าง ๆ
กันออกไป เขมร เรียกว่า
กุย ฝรั่งเศส เรียกตามว่า
กุย (kui) หรือ กวย (kouy) ไทยเรียกส่วย ต่อมาเมื่อแต่งานกับลาวและเขมรที่ตามเข้ามาภายหลังเกิดเผ่าพันธุ์ผสมขึ้นใหม่ (ยุพดี
จรัญยานนท์. ม.ป.ป. :
45)
พวกที่เกิดจากกุยกับลาว
เรียกว่า ส่วยลาว มีอยู่มากในจังหวัดศรีสะเกษ ส่วนพวกที่เกิดจากกุยกับเขมร เรียกว่า
ส่วยเขมร มีอยู่มากในจังหวัดสุรินทร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น