ที่มาของคำว่า “ส่วย”
คำว่า “ส่วย” เป็นคำที่คนกลุ่มอื่นเรียกคนในกลุ่มนี้ แต่ในกลุ่มของเขาเองเรียกตนเองว่า “กุย” หรือ “กูย” สาเหตุที่คนทั่วไปเรียกคนพื้นเมืองในบริเวณเขมรป่าดงว่า “ส่วย” นั้น สืบเนื่องมาจากในระยะเริ่มต้น สมัยกรุงรัตนโกสินทร์นั้น ไทยเพิ่งได้ดินแดนและผู้คนในบริเวณตั้งแต่แม่น้ำมูลไปจนถึงแขวงจำปาศักดิ์ สาระวัน อัตตะปือ เข้ามาอยู่ในอำนาจและเรียกดินแดนแถบนี้ว่า บริเวณเขมรป่าดง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 ทางรัฐบาลกรุงเทพฯ เห็นว่าผู้คนที่อยู่ในบริเวณนี้ ถ้าจะเกณฑ์แรงงานในระบบเลิกไพร่ธรรมดาก็จะไม่ได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย ประกอบทั้งในช่วงนั้นทางเมืองหลวงต้องการของป่าจำพวกครั่งฝาง ไม้เนื้อหอมและอื่นๆ จำนวนมาก เพื่อค้าขายกับต่างประเทศ จึงคิดระบบไพร่ส่วยขึ้นใช้สำหรับหัวเมืองที่ห่างไกลออกไป คือ กำหนดให้ยกเว้นการเกณฑ์แรงงาน แต่มีข้อมูลผูกพันว่าจะต้องส่งของป่าตามอัตราที่กำหนดไว้ต่อปี ให้กรมกรรมการเมืองเป็นผู้คอยควบคุมดูแลและจัดทำบัญชีสิ่งของที่ส่งทูลเกล้าฯ ถ้าหากหาสิ่งของส่งไม่ได้ก็ให้ส่งเป็นเงินแทน โดยกำหนดราคาเท่ากับส่งของนั้น ๆ การดำเนินการดังกล่าว ทำให้ท้องพระคลังได้ผลประโยชน์อย่างเต็มที่และสิ่งของที่ใช้ส่งส่วยส่วนหนึ่งคือ ทองคำ ปรากฏว่าในสมัยรัชกาลที่ 3 มีการเรียกเก็บส่วยทองคำจากเมืองอัตตะปือ เพิ่งขั้นเป็นปีละ 8 ชั่ง และเข้าใจว่าในช่วงนี้เองทางกรุงเทพฯ เรียกคนพื้นเมืองแถบนี้ว่า “ข่าส่วย” แต่พอมาถึงต้นรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2411) ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดพวกข่าส่วย (เขมรป่าดง) ไม่สามารถหาสิ่งของมาส่งส่วยให้ทางกรุงเทพฯ ได้ เมื่อถูกทางเมืองหลวงเร่งรัดเอาสิ่งของ เงินทอง กรมการเมืองบางส่วนจึงใช้วิธีจับคนพื้นเมืองไปขายเพื่อเอาเงินส่งส่วย ครั้นความทราบพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ จึงโปรดเกล้าฯ ห้ามจับคนข่าส่วยอีก แต่ยังมีบางส่วนส่งตัวคนลงมาส่งส่วยแทนและเรียนว่า “คนส่วย” ตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา ต่อมาในปี พ.ศ. 2446 แขวงจำปาศักดิ์ สาระวัน อัตตะปือ ตกเป็นของฝรั่งเศส จังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานีเท่านั้น สืบเนื่องจากคนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้มีพันธะที่จะส่งส่วยสิ่งของ เงินทองตลอดจน “คน” ให้กับทางเมืองหลวงด้วย อีกประการหนึ่งคนส่วนใหญ่เป็นชนชาติในตระกูลภาษามอญ-เขมร คำว่าไพร่ส่วยและคนส่วยเดิมจึงถูกตัดให้สั้นลงเหลือเพียง “ส่วย” คำเดียวคำนี้จึงมีความหมายแทนชนชาติดังกล่าวมาจนกระทั่งปัจจุบัน ในพวกเขาเองก็ดูเหมือนจะลืมความหมายที่แท้จริงของคำนี้เสียแล้วและยอมรับคำเรียนขานดังกล่าวโดยมิได้รังเกียจแต่อย่างใด (จิตร ภูมิศักดิ์. ม.ป.ป. : 445)
คนพวกนี้มีชื่อเรียกต่าง ๆ กันออกไป เขมร เรียกว่า กุย ฝรั่งเศส เรียกตามว่า กุย (kui) หรือ กวย (kouy) ไทยเรียกส่วย ต่อมาเมื่อแต่งานกับลาวและเขมรที่ตามเข้ามาภายหลังเกิดเผ่าพันธุ์ผสมขึ้นใหม่ (ยุพดี จรัญยานนท์. ม.ป.ป. : 45) พวกที่เกิดจากกุยกับลาว เรียกว่า ส่วยลาว มีอยู่มากในจังหวัดศรีสะเกษ ส่วนพวกที่เกิดจากกุยกับเขมร เรียกว่า ส่วยเขมร มีอยู่มากในจังหวัดสุรินทร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น